จังหวะไหนควรออกมาทำธุรกิจส่วนตัว

เมื่อไรดี? คำถามที่เป็นได้ทั้งแรงบันดาลใจและบั่นทอนกำลังใจ ลองสำรวจตัวเองจากคำตอบทั้ง 6 ข้อที่เราลองรวบรวมออกมานี้ดู ถ้าคุณเข้าอยู่ในเกณฑ์คำตอบเหล่านี้ นั่นไม่ได้แปลว่าคุณ "พร้อมแล้ว" แต่มันแปลว่า คุณอาจจะ "ควรเริ่มได้แล้ว" เมื่ออายุยังไม่มาก เวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มธุรกิจคือตอนที่คุณยังเด็ก การที่อายุยังน้อยบ่งบอกถึงสิ่งผสมที่สวยงามลงตัวระหว่างความไม่รู้และความไร้เดียงสา การตัดสินใจหรือทำอะไรที่ผิดพลาดลงไป สุดท้ายก็จบลงแค่อยู่ในคุกเยาวชนไม่กี่วัน หรือแค่ถังแตก ให้ลองนึกถึงนักกีฬาบาสเกตบอลดู แล้วจะพบว่า พวกเขาดังที่สุด เก่งที่สุด อยู่บนจุดสูงสุดตอนช่วงอายุ 25-30 ปี แล้วก็จะค่อยๆ ร่วงลง การที่คุณเริ่มธุรกิจตอนที่อายุน้อย ความสดใหม่ของวัย ไฟในตัวที่ลุกโชติช่วง มักเป็นบ่อเกิดของความคิดสร้างสรรค์ดีๆ…

ผู้ประกอบการจะปรับเงินเดือนให้พนักงาน ต้องพิจารณาจากอะไรบ้าง

เงินเดือนและการเป็นที่ยอมรับของคนในองค์กรน่าจะเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่จะทำให้พนักงานมีความสุขในการทำงาน ความจงรักภักดีต่อองค์กรและพยายามพัฒนาความสามารถตัวเองให้เติบโตเพื่อองค์กร ทำให้เงินเดือนนั้นเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ค่อนข้างมีผลต่อการทำงานของพนักงานมากเลยทีเดียว ถ้าธุรกิจของเรานั้นไม่ได้พยายามปรับเงินเดือนพนักงานในส่วนนี้ตามตลาดแล้วนั้น ก็มีโอกาสเสี่ยงมากที่จะเสียพนักงานที่มีความสามารถดีๆ หรือพนักงานที่สร้างผลกำไรให้กับองค์กรไปให้กับองค์กรอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าไปอย่างน่าเสียดาย แต่ทว่าการขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เพราะการขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานในองค์กรแต่ละครั้งก็นับว่าเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน และในบางครั้งก็ต้องคิดถึงความคุ้มค่าก่อนที่จะตัดสินใจเพิ่มอีกด้วย ซึ่ง 4 ข้อนี้ก็คือปัจจัยสำคัญเพื่อประกอบการตัดสินใจในการขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงานของเรา ภาพรวมของบริษัทในปีนั้นๆ หลายๆ บริษัทมักใช้ผลประกอบการในแต่ละปีมาเป็นตัวตัดสินว่าจะขึ้นเงินเดือนให้พนักงานหรือไม่ ซึ่งถ้าการปรับฐานเงินเดือนของพนักงานมีช่วงสิ้นปี ก็จะใช้การประมาณผลประกอบการที่คาดไว้ในช่วงนั้น หรือถ้าการปรับเงินเดือนของพนักงานอยู่ในช่วงต้นปีถัดไปก็จะสามารถใช้สรุปผลประกอบการมาเป็นตัวชี้วัดได้เลย โดยอัตราการเติบโตของผลกำไรนี้ก็มักถูกใช้เป็นเครื่องประเมินความมากหรือน้อยของอัตราเงินเดือนพนักงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งยิ่งพนักงานช่วยกันสร้างผลกำไรให้กับองค์กรได้มากเท่าไร พวกเขาก็จะยิ่งได้รับผลตอบแทนที่มากเท่านั้น ถือว่าเป็นวิธีที่จูงใจพนักงานในภาพรวมขององค์กรได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ผลประกอบการที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจขึ้นเงินเดือนของพนักงานได้ เพราะเรายังต้องดูถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นไปในอนาคตด้วยว่าเราจะมีโครงการอะไรเพิ่มเติมที่จะต้องใช้ต้นทุนสูงหรือไม่ เพื่อที่จะให้ปรับอัตราเงินเดือนของพนักงานให้เหมาะสม และทำให้องค์กรยังมีเงินหมุนเวียนอยู่ในระบบอยู่เสมอด้วย ความทุ่มเทของพนักงาน หากเราให้ผลตอบแทนกับพนักงานทุกคนเท่าๆ กันแล้ว คงจะไม่ยุติธรรมสำหรับพนักงานที่มีความสามารถและมีส่วนในการทำผลกำไรให้กับบริษัทได้มากกว่า…

รู้ความต้องการของลูกค้าด้วยแบบสอบถาม

การจะผลิตสินค้าสักชิ้นหรือสร้างบริการสักอย่างหนึ่ง ลูกค้าถือเป็นตัวแปรสำคัญที่สุดของกระบวนการนี้ เพราะไม่ว่าจะผลิตอะไรออกมา สิ่งนั้นก็ควรจะเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการเพื่อจะได้สามารถขายและสร้างกำไรให้กับองค์กร แต่เราจะรู้ความต้องการของลูกค้าได้อย่างไร แบบสอบถามถือเป็นเครื่องมือชนิดหนึ่งที่จะมาช่วยตอบโจทย์นี้ได้ ซึ่งจากการสำรวจทางพฤติกรรมศาสตร์พบว่า เกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ ของการรวบรวมข้อมูลมักใช้วิธีการทำแบบสอบถาม เนื่องจากลงทุนน้อยและค่อนข้างประหยัดเวลากว่าวิธีอื่นๆ แต่หากใช้เครื่องมือชนิดนี้ไม่ถูกต้องก็เหมือนเป็นการเสียแรงเปล่าได้เช่นกัน นี่คือเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยให้แบบสอบถามของเรามีคุณค่าและสามารถนำข้อมูลนั้นไปใช้วิเคราะห์ต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราอยากรู้อะไร ก่อนที่จะทำแบบสอบถาม เราควรถามตัวเองให้ชัดก่อนว่าอยากรู้และอยากได้อะไรจากการทำแบบสอบถาม ก่อนที่จะทำแบบสอบถาม เราควรถามตัวเองให้ชัดก่อนว่าอยากรู้และอยากได้อะไรจากการทำแบบสอบถาม ซึ่งคำถามในแบบสอบถามก็ควรชัดเจนเพื่อให้ได้ข้อมูลซึ่งตรงกับ จุดปรสงค์แรกที่เราตั้งเป้าไว้้ เช่น ทำแบบสอบถามเพื่อหาว่าคนกลุ่มไหนมีแนวโน้มจะป็นลูกค้านอนาคตเพื่อจะได้สร้างผลิตภัณฑ์ต่างๆ ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าเหล่านั้น เราก็ควรใช้คำถามที่แบ่งกลุ่มคนให้ได้ก่อนว่าเป็นเพศชายหรือหญิง มีอายุในช่วงเท่าไร ทำอาชีพและมีไลฟ์สไตล์อย่างไร ก่อนที่จะลงไปถามถึงความชอบเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ ซึ่งคำถามเหล่านี้จะช่วยให้คััดกลุ่มคนที่น่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายของเราออกมาได้…