โชคชะตาวาสนาไม่เคยวิ่งมาหาคนที่นอนนิ่งเฉย
การจะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นคนโชคดีไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปได้ยาก เพราะเพียงแค่แลกมากับความขยันหมั่นเพียรเท่านั้น ความโชคดีก็เป็นของเราแล้ว คนที่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้นมีอยู่สองประเภท ประเภทแรกคือ คนที่ตั้งใจทำมาหากิน ขยันหมั่นเพียรในการทำงาน พัฒนาศักยภาพความสามารถของตัวเองอยู่ตลอดเวลา และเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆ ที่เข้ามาเพื่อปลูกฝังรากฐานของชีวิตให้ดีขึ้นต่อไปเรื่อยๆ คนแบบนี้แม้จะมีรายได้น้อย แต่เขามักเลือกที่จะเก็บเงินรู้จักอดออมเพื่ออนาคต เราจึงเห็นว่าคนประเภทนี้มักเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จได้อย่างงดงาม ส่วนคนประเภทที่สอง คนเหล่านี้มักใช้วิธีลัดเพื่อพาตัวเองไปสู่การมีอนาคตที่ดี อาจโดยการซื้อหวย เพื่อหวังรวยลัด เล่นการพนัน เสี่ยงโชคในรูปแบบต่างๆ สุดท้ายก็หมดตัวมีแต่หนี้สิน มีคนมากมายที่ซื้อหวยจนบานปลายกลายเป็นติดหนี้ติดสิน แล้วสุดท้ายก็โทษโชคชะตาวาสนาว่าไม่ดีอย่างนั้น อย่างนี้ ทั้งที่... แท้จริงแล้ว โชคชะตาวาสนานั้นเข้าข้างแต่คนที่ขยันตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเท่านั้น แม้บางคนจะบอกว่า การเสี่ยงโชคในรูปแบบต่างๆ แม้จะไม่ใช่หนทางสุจริต แต่ก็ยังมีหลายคนที่ได้ดิบได้ดีจากเรื่องเหล่านี้…
ก้าวหน้าดีกว่าถอยหลัง
เมื่อเจออุปสรรคคนเรามีทางเลือกอยู่สองทางเท่านั้น หนึ่งก้าวต่อไป สองถอยหลังออกมา และคนที่ใช้ชีวิตเป็น มักรู้ดีว่าควรเลือกทางใด เวลาที่เจอปัญหา คุณเคยคิดถามตัวเองไหมว่าระหว่างเดินหน้ากับเดินถอยหลัง เราควรเลือกที่จะก้าวไปทางไหน อาจเป็นไปได้ที่จะก้าวถอยหลัง แต่ต้องถามตัวเองก่อนว่าสาเหตุที่ก้าวถอยหลังนี้ ก้าวถอยไปเพื่ออะไร ถ้าหากถอยเพื่อตั้งหลักใหม่นั่นไม่ใช่ปัญหา และยังถือเป็นทางเลือกที่ถูกต้องอยู่ แต่ถ้าหากการก้าวถอยของเราคือการยอมแพ้กับทางเดินชีวิต ไม่ต้องการต่อสู้กับสิ่งใดอีกแล้ว ชีวิตจะเป็นอย่างไรก็ปล่อยมันดำเนินไหลไปตามวันเวลา ถ้าหากเป็นเช่นนี้ เราคงต้องทบทวนเป้าหมายของตัวเองให้แน่ชัดว่า ‘อยากเป็นคนที่คว้าความสำเร็จหรือเป็นคนที่คว้าความล้มเหลว’ เพราะธรรมชาติสร้างสองขามนุษย์มาเพื่อให้เดินหน้า ไม่ได้ให้เดินถอยหลัง แม้แต่คนพิการไร้แขนขา มีเวลาเหลือบนโลกน้อยเต็มทีเขายังคิดแต่จะมีชีวิตเพื่อก้าวไปข้างหน้า แต่ถ้าหากต้องถอยหลังจริง เหตุผลจำเป็นคงมีเพียงแค่ การถอยมาก้าวเดียวเพื่อมาตั้งหลักใหม่เท่านั้น จากนั้นอย่างไร...ก็ต้องเดินหน้าต่อไปอยู่ดี คนฉลาดแค่เพียงเขาใช้สติไตร่ตรองเวลาเจอปัญหา ก็ย่อมพบทางออกมากมายในการเดินหน้าแล้ว เพราะการต่อสู้คือกระบวนการเดียวที่ทำให้มนุษย์เราอยู่รอด…
จังหวะชีวิตทั้งสูงและต่ำเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางสู่ความสำเร็จ
เส้นกราฟชีวิตที่พุ่งสูงขึ้นและต่ำลง ไม่ได้ทำให้จังหวะการเดินของเราต้องสะดุด แค่อย่าหยุดเดินเท่านั้น เราก็มีวันพบปลายทางแล้ว เส้นทางของผู้ประสบความสำเร็จมักเป็นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคเสมอ นักเดินทางหลายคนเมื่อพบว่าทางของตัวเองโรยด้วยอุปสรรค เต็มไปด้วยทางตันอยู่ทุกสารทิศ บางทีที่ใจเหนื่อยล้า ความคิดที่ว่าจะถอดใจหันหลังเดินกลับออกมาก็แวบเข้าไปในสมองทันใด และน่าเสียดาย ที่นักเดินทางหลายคนเมื่ออ่อนล้าแล้ว มักปล่อยให้ตัวเองอ่อนไหว ปล่อยให้สติและสมองสั่งงานให้หัวใจหยุดพักอย่างยาวนาน หยุดพักโดยการหันกลับมาสู่จุดเริ่มต้นใหม่ และอาจถึงขั้นละทิ้งความฝันที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จเหมือนอย่างที่เคยตั้งเป้าไว้ ในขณะที่บนเส้นทางเดียวกัน ยังมีนักเดินทางบางคนยังคงเดินแบกเป้หนักๆ มุ่งสู่เป้าหมายอย่างไม่ย่อท้อ ถามว่าเขาไม่พบเจออุปสรรคเลยหรืออย่างไร ทำไมจะไม่ล่ะ ยิ่งโดยเฉพาะคนที่มีแรงมุมานะตั้งใจเพื่อพิชิตเป้าหมาย คนแบบนี้มักเจออุปสรรคมากขึ้นเรื่อยๆ และความท้อแท้ อ่อนล้าใจก็ย่อมเกิดขึ้น แต่พวกเขากลับฉลาดตรงที่ว่า เมื่อหัวใจอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อยแล้ว เขาจะไม่ยอมให้สมองและสติสั่งการหัวใจให้หยุดเดินทาง เพราะตราบใดที่เขายังคงกระหายในชัยชนะ ยังคงเชื่อมั่นบนหนทางแห่งความสำเร็จว่ามันจะสามารถตอบแทนความสุขให้ชีวิตได้อย่างยาวนาน…
จังหวะไหนควรออกมาทำธุรกิจส่วนตัว
เมื่อไรดี? คำถามที่เป็นได้ทั้งแรงบันดาลใจและบั่นทอนกำลังใจ ลองสำรวจตัวเองจากคำตอบทั้ง 6 ข้อที่เราลองรวบรวมออกมานี้ดู ถ้าคุณเข้าอยู่ในเกณฑ์คำตอบเหล่านี้ นั่นไม่ได้แปลว่าคุณ "พร้อมแล้ว" แต่มันแปลว่า คุณอาจจะ "ควรเริ่มได้แล้ว" เมื่ออายุยังไม่มาก เวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มธุรกิจคือตอนที่คุณยังเด็ก การที่อายุยังน้อยบ่งบอกถึงสิ่งผสมที่สวยงามลงตัวระหว่างความไม่รู้และความไร้เดียงสา การตัดสินใจหรือทำอะไรที่ผิดพลาดลงไป สุดท้ายก็จบลงแค่อยู่ในคุกเยาวชนไม่กี่วัน หรือแค่ถังแตก ให้ลองนึกถึงนักกีฬาบาสเกตบอลดู แล้วจะพบว่า พวกเขาดังที่สุด เก่งที่สุด อยู่บนจุดสูงสุดตอนช่วงอายุ 25-30 ปี แล้วก็จะค่อยๆ ร่วงลง การที่คุณเริ่มธุรกิจตอนที่อายุน้อย ความสดใหม่ของวัย ไฟในตัวที่ลุกโชติช่วง มักเป็นบ่อเกิดของความคิดสร้างสรรค์ดีๆ…