ใกล้เข้ามาทุกที สำหรับการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน (AEC) ในปี 58 ซึ่งจะเปิดให้ประชากรในอาเซียน 10 ประเทศ รวมกันเป็นหนึ่งเดียว มีประชากรรวมกันถึง 600 ล้านคน การเข้าถึงประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียนก็จะง่ายขึ้น การทำธุรกิจต่างๆ ก็จะไม่ได้อยู่ในประเทศของตัวเองเท่านั้น ภาคธุรกิจต่างๆ จากกลุ่มประเทศในอาเซียนก็จะไหลเข้าไปในจุดที่เป็นโอกาส เพราะฉะนั้น ณ เวลาที่เหลืออยู่ ภาคธุรกิจของไทยก็ควรต้องเตรียมพร้อมในการฉกฉวยโอกาสให้เข้ามาเป็นประโยชน์กับตัวเองให้มากที่สุด หากมองโอกาสในการเข้าไปลงทุนของผู้ประกอบการไทยในประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียน ต้องบอกได้ว่า “มีโอกาสสดใสมาก ที่นักลงทุนไทยจะเข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย กัมพูชา เวียดนาม พม่า” นี่เป็นคำยืนยันจาก “รุ่งโรจน์ เบญจมสุทิน” ผู้อำนวยการโครงการธุรกิจและเศรษฐกิจอาเซียน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ซึ่งเป็นผู้คร่าหวอดวิเคราะห์เจาะลึกเดินทางเข้า-ออก เพื่อหาข้อมูลประเทศต่างๆ ในกลุ่มอาเซียน
อย่างล่าสุด เพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศอินโดนีเซีย หลังจากไปศึกษาลู่ทางการค้าให้ภาคธุรกิจไทยมองว่า ประเทศอินโดนีเซีย เป็นประเทศน่าสนใจมาก ที่นักธุรกิจไทยควรหาโอกาสเข้าไปลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยเกื้อหนุนหลายอย่าง เช่น จำนวนประชากรของอินโดนีเซียสูงถึง 250 ล้านคน ทำให้มีปริมาณความต้องการสินค้าเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะสินค้าอุปโภค บริโภคของไทย เช่น ผลไม้สด ผลไม้อบแห๎ง และสินค้าอื่นๆ อีกเป็นจำนวนมาก เป็นที่ชื่นชอบ และได้รับความนิยมอย่างสูง เนื่องจากคนอินโดนีเซียมองว่า สินค้าไทย เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ไว้ใจได้ ไม่เหมือนสินค้าจากประเทศจีน แม้มีราคาที่ถูกกว่า แต่ไม่มีคุณภาพ รวมทั้งรถยนต์ของไทย ก็ได้รับความนิยม ซึ่งเร็วๆ นี้ คาดว่ารัฐบาลจะมีนโยบายรถยนต์คันแรกแบบไทย
คนอินโดนีเซีย ไว้ใจสินค้าไทยอย่างมาก เพราะสินค้าไทย เวลานาตัวอย่างมาโชว์ เขาจะมั่นใจได้ว่า สั่งกี่ครั้ง ๆ ก็จะได้สินค้าแบบที่โชว์ ไม่เหมือนกับสินค้าจีน ตอนนำมาโชว์แบบหนึ่ง ตอนสั่งจะได้สินค้าอีกแบบหนึ่ง คนอินโดนีเซียเลยเข็ด ไม่อยากสั่งอีก และอีกประเด็นคือ ต้องศึกษาวัฒนธรรมของชาวอินโดนีเซียให้ดี เพราะต้องมีการทาละหมาดวันละ 5 ครั้ง ซึ่งที่ผ่านมามีบริษัทคนไทยเข้าไปลงทุน ตอนแรก ๆ ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ สุดท้ายเลยจ้างคนที่อินโดนีเซียเป็นผู้บริหาร เพื่อมาดูแลพนักงาน เพราะจะรู้วัฒนธรรมทำให้ไม่ยุ่งยากในการบริหารงาน
นอกจากนี้ยังมีทรัพยากรธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์มาก เช่น น้ำมัน เหมืองแร่ ถำนหิน ทำให้ที่ผ่านมาบริษัทใหญ่ ๆ ของไทย เข้าไปลงทุนหลายแห่ง เช่น บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เครือซิเมนต์ไทย (เอสซีจี) รวมทั้งเครือเจริญโภคภัณฑ์ เข้าไปลงทุนทำธุรกิจอาหารสัตว์
สำหรับธุรกิจขนาดกลางหรือขนาดย่อม (SMEs) แม้โอกาสจะมีมาก แต่การเข้าถึงตลาดก็ไม่ง่าย ซึ่งวิธีการที่SMEs จะเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซียนั้น อย่างแรกควรหาผู้ดำเนินธุรกิจร่วมกัน (พาร์ทเนอร์) ที่ดี เพราะหากเข้าไปลงทุนโดยไม่มีพาร์ทเนอร์ที่รู้จักประเทศนั้นดี จะเข้าไปลงทุนลำบาก เพราะเราจะไม่รู้กฎเกณฑ์ กฎระเบียบ วิธีปฏิบัติในประเทศเหล่านั้นดีพอแต่การหาพาร์ทเนอร์ที่ดีจะหาได้อย่างไร สิ่งแรกที่ผู้ประกอบการSMEsควรดำเนินการ ต้องการเข้าไปศึกษาดูตลาด ดูพฤติกรรมของผู้บริโภคในประเทศนั้นว่าเป็นไงด้วยตัวเองก่อน แล้วดูว่ามีช่องว่างที่จะสามารถเข้าไปได้หรือไม่ และถ้าเลือกพาร์ทเนอร์คนไหนให้เข้าไปคลุกคลีด้วยตัวเอง ในครั้งแรก ๆ ไม่ควรเข้าไปลงทุน ผลิตสินค้าเป็นโรงงานด้วยตัวเอง ควรนาสินค้าเข้าไปลองตลาดดูก่อน และให้ช่วยทำการตลาด โปรโมตสินค้า เพราะคนอินโดนีเซียยังทำการตลาดไม่เก่ง
อีกวิธีให้ฝากขายกับบริษัทผู้นำเข้าสินค้าไทย ที่มีการทำการตลาดสินค้าไทยประสบความสำเร็จในพื้นที่แล้ว หากสินค้าของเราเริ่มติดตลาด มีปริมาณการสั่งสินค้าจำนวนมากแล้ว ค่อยตัดสินใจเข้าไปลงทุนตั้งโรงงาน ซึ่งตอนนี้สินค้าบริโภคของไทย ที่วางขายในอินโดนีเซีย เช่น เถ้าแก่น้อย ถั่วทองการ์เด๎น ส่วนสิ่งที่ต้องควรระวัง คือ การหาพาร์ทเนอร์ที่ดี และการศึกษากฎระเบียบในประเทศนั้นให้ดี
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบโอกาสความน่าสนใจในการลงทุนของนักลงทุนไทย ในกลุ่มประเทศอินโดนีเซีย กัมพูชา เวียดนาม และพม่านั้น มองว่าประเทศที่สนใจเข้าไปลงทุนมากที่สุด คือ “กัมพูชา” หากไม่มองเรื่องการเมืองที่ผ่านมา เนื่องจากกัมพูชาไม่ค่อยมีการผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง ต้องอาศัยการนำเข้าจากหลายประเทศ เช่น ไทย จีน เวียดนาม แต่นิยมสินค้าไทยมากที่สุด และมีความไว้ใจในการลงทุนของนักลงทุนไทยมากกว่าหลายประเทศ และการเดินทางไปกัมพูชา เพื่อไปศึกษาช่องทางก็มีความสะดวก เพราะติดกับประเทศไทย ทำให้โอกาสในการทำตลาดได้ง่ายขึ้น และคำขนส่งไม่แพง
นอกจากนี้ ในระยะต่อไปไม่เกิน 5 ปี ระบบการขนส่ง การเดินทางไปมาระหว่างประเทศเวียดนาม กัมพูชา พม่า จะมีความสะดวกขึ้น มีการสร้างถนน พัฒนาระบบรางเชื่อมต่อกัน จะยิ่งทำให้การค้าขายระหว่างกันสะดวกมากขึ้น ยิ่งเป็นโอกาสทางการค้าสูงขึ้น ส่วนประเด็นค่าแรงงาน เมื่อเปรียบเทียบค่าแรงงานกลุ่มประเทศดังกล่าว ยังถูกกว่าไทย แต่อินโดนีเซีย กำลังค่าแรงงานใกล้กับไทย หลังเพิ่งประกาศปรับขึ้นค่าแรงงาน 40% ซึ่งถือเป็นโอกาสทองที่นักลงทุนไทย ควรเร่งศึกษา เสาะหาช่องทาง ฉกฉวยโอกาสเข้าไปลงทุนในประเทศต่าง ๆ ที่มีความพร้อมทั้งด้านทรัพยากรธรรมชาติที่ยังสมบูรณ์ และความนิยมชื่นชอบสินค้าไทย
ที่มา : เดลินิวส์