การศึกษาอาเซียน AEC และการศึกษาของประเทศสิงคโปร์

เมื่อพิจารณาด้านความต้องการแรงงานของอาเซียน จะเห็นได้ว่า มีการกําหนดสาขาวิชาชีพหลักที่มีการจัดทําข้อตกลงยอมรับร่วมกัน หรือ MRA (Mutual Recognition Agreement) เพื่อรับรองคุณสมบัติวิชาชีพ และช่วยอํานวยความสะดวกในการเคลื่อนย้ายแรงงาน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 8 สาขา คือ แพทย์ ทันตแพทย์ พยาบาล วิศวกรรม สถาปัตยกรรม บัญชี การสํารวจ และการท่องเที่ยว นั่นหมายความว่ า วิชาชีพเหล่านี้จะมีการแข่งขันกันสูง เราจึงต้องพัฒนาให้พร้อมกับการแข่งขัน และในอนาคต เป็นไปได้ที่อาเซียนรจะพิจารณาให้เปิดเสรีในสาขาวิชาชีพอื่นด้วย

ในการพัฒนาบุคลากรวิชาชีพทั้ง 8 สาขา นอกจากต้องให้ความสําคัญกับวิชาพื้นฐาน ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีให้ได้เป็นอย่างดีแล้ว ก็จําเป็นต้องพัฒนาทักษะด้านภาษาอังกฤษควบคู่ไปด้วย เนื่องจากกฎบัตรอาเซียนข้อ 34 บัญญัติเอาไว้ว่า

วิธีการทำอาชีพอิสระ

“ภาษาที่ใช้ในการทํางานของอาเซียน คือ ภาษาอังกฤษ” (The working language of ASEAN shall be English) ประเทศที่จะแข่งขันในเวทีอาเซียนได้ จึงต้องมีความชํานาญในภาษาอังกฤษด้วย

หากเราพิจารณาดัชนีการพัฒนามนุษย์โดยดูข้อมูลจาก Human Development Report 2011 ของ UNDP พิจารณาเฉพาะดัชนีการศึกษา (Education Index)  ที่ คํานวณจากอัตราการรู้หนังสือของผู้ใหญ่ และสัดส่วนของเด็กวัยเรียนที่ ได้รับการศึกษาระดับประถมจนถึงอุดมศึกษา ซึ่งมีการแบ่งกลุ่มและจัดอันดับจากทั้งหมด 187 ประเทศ แต่จะเปรียบเทียบเฉพาะสมาชิกอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ ปรากฏว่า

กลุ่มประเทศที่มีการพัฒนามนุษย์ระดับสูงมาก
สิงคโปร์ (อันดับที่ 26)
บรูไน (อันดับที่ 33)

กลุ่มประเทศที่มีการพัฒนามนุษย์ระดับสูง
มาเลเซีย (อันดับที่ 61)

กลุ่มประเทศที่มีการพัฒนามนุษย์ระดับปานกลาง
ไทย (อันดับที่ 103)
ฟิลิปปินส์ (อันดับที่ 112)
อินโดนีเซีย (อันดับที่ 124)
เวียดนาม (อันดับที่ 128)
สปป.ลาว (อันดับที่ 138)
กัมพูชา (อันดับที่ 139)

กลุ่มประเทศที่มีการพัฒนามนุษย์ในระดับต่ำ
พม่า (อันดับที่ 149)

จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่าประเทศอาเซียนทั้ง 10 ประเทศ มีความแตกต่างทางการศึกษาค่อนข้างมาก จึงเป็นเรื่องยากที่ จะแข่งขันกันได้อย่างเป็นธรรม อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องการยอมรับในคุณภาพการศึกษาของประเทศ ที่มีอันดับการพัฒนามนุษย์ที่ต่ำกว่า คําถามคือ เราจะทําอย่างไรให้ทุกประเทศในอาเซียนมีการพัฒนามนุษย์ที่เท่าเทียมกัน

ที่น่าสนใจคือประเทศที่เป็นผู้นําด้านการศึกษาอย่างสิงคโปร์ มีนโยบายอะไร ที่ทําให้บุคลากรของประเทศมีคุณภาพ  เมื่อศึกษาดูจะพบว่า สิงคโปร์ใช้นโยบาย “สอนให้น้อยลง เรียนรู้ให้มากขึ้น” (Teach Less, Learn More) เป็นกรอบวิสัยทัศน์ด้านการศึกษาเพื่อเตรียมประเทศเข้าสู่ ศตวรรษที่ 21 และใช้แนวคิดเรื่องชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ” ช่วยเติมกรอบความคิดในการเปลี่ยนแปลงสิงคโปร์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

หลายคนอาจสงสัยว่า การสอนให้น้อยลง และเรียนรู้ให้มากขึ้น นั่นหมายความว่าอะไร ตามความคิดของสิงคโปร์ ไม่ได้หมายความว่าสอนให้น้อยลงจริงๆ แต่จะใช้วิธีการสอนที่ หลากหลายและลึกขึ้น อย่างเช่น วิธีแบบปฏิสัมพันธ์ การลงมือปฏิบัติ การเรียนรู้แบบประสม การเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับการทํางานของสมอง การเรียนรู้จากปัญหา และการเรียนรู้ผ่านกรณีศึกษา ผ่านการทํางานเป็นทีม หรือที่ เรียกว่าชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ที่สําคัญ ประเทศที่มีการพัฒนาในอันดับต้นๆ อย่างสิงคโปร์ และมาเลเซีย ต่างก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการ ทําให้บุคลากรของประเทศเหล่านี้ได้เปรียบในการแข่งขันเป็นอย่างมาก ประเทศไทยจึงควรเน้นการเรียนการสอนโดยใช้ภาษาอังกฤษให้มากขึ้น และเน้นที่การฟังและการพูดเพื่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมงานและลูกค้าชาติอาเซียนในอนาคตได้ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ควรลดระดับความสําคัญของเนื้อหาสาระในวิชาอื่นๆ ลง

สรุปแล้ว ถ้าเราพัฒนาบุคลากรของประเทศไม่ทัน เราจะแข่งขันกับประเทศที่มีศักยภาพสูงอย่างสิงคโปร์และมาเลเซียได้ยาก นอกจากนี้ การแข่งขันกับแรงงานชาวฟิลิปปินส์ที่สามารถติดต่อสื่อสารโดยใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี ก็ค่อนข้างยากเช่นกัน  สถาบันการศึกษาต่างๆ จึงต้องเร่งส่งเสริมพัฒนาหลักสูตรวิชาชีพให้ได้มาตรฐานอาเซียน รวมทั้งปรับปรุงรูปแบบวิธีการเรียนการสอน ตลอดจนเทคโนโลยีทางการศึกษา เพื่อกระตุ้นการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ เพื่อให้แรงงานไทยก้าวสู่ตลาดแรงงานฝีมือระดับนานาชาติได้ และหากเป็นไปได้ ประเทศสมาชิกอาจจะกําหนดให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการภายในประเทศด้วย เพื่อก้าวข้ามกําแพงทางภาษาของคนรุ่นใหม่ และนําไปสู่อัตลักษณ์อาเซียนอย่างแท้จริง

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ